วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คลังคำ ของชาว Twitter

ขณะนี้ twitter ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่สังคมออนไลน์ ทำให้มีคำศัพท์เกิดขึ้นมากมายจากการเล่น Twitter บางคนก็ยัง งง ๆ อยู่ว่า เอ๊ะ คำนั้น คำนี้ ใน twitter ที่ใครๆเค้า post กันมันคือ อะไรวันนี้ถือโอกาสดีมาแนะนำให้ได้รู้จักกันสำหรับมือใหม่ ยังไงเวลาคุยกะใครเค้าเราจะได้เข้าใจไม่ตกเทรนด์กันนะคะ โดยเราเริ่มกันที่




•Twitter – ชื่อเว็บไซต์ social media ชนิดหนึ่ง ที่ตั้งชื่อเลียนแบบเสียงนกร้อง ทวิตส์ๆ ถ้าบ้านเราก็คงร้อง จิ๊บ ๆ นั่นแหละค่า

•Tweet – เป็นการอัพเดท twitter เปรียบเสมือนการทำเสียงนกร้องทวิตส์ๆ

•Tweeps – เพื่อนเราคนหนึ่งใน twitter

•Twirt – การจีบกัน (flirt) ใน twitter

•Twitterverse – โลกของ twitter หรือจักรวาลของ twitter

•Twittersphere – โลกของ twitter หรือจักรวารของ twitter

•Retweet – การเอา tweet ของคนอื่นมาเขียนใหม่ใน twitter โดยมากมักใช้คำย่อว่า RT แทน

•RT – คำย่อของคำว่า Retweet

•# – เครื่องหมาย hashtag มักใช้ร่วมกับคำบางคำเพื่อเป็นการกำหนด tag ใน twitter เช่น #hashtag

•Follow – การเพิ่มเพื่อนในรายชื่อ twitter account ของคุณ เพื่อจะได้ติดตามได้ทุกครั้งที่คนที่เราไปตามเค้ามีการอัพเดท

•Follower – คนที่ตามอ่าน twitter ของเรา

•Following – คนที่เราตามอ่าน twitter เค้าอยู่

ใครมีคำอื่น ๆ แนะนำก็มา post กันไว้ใน comment นะคะ จะได้แชร์ความรู้กันค่ะ หรือ tweet มาได้ที่@mdinno.ok

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552





Second Life โลกเสมือน ชีวิตที่สองบนโลกใบเดิม



Second Life ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้จะยังไม่ฮอตฮิตติดชาร์ทในบ้านเราอย่าง Facebook หรือ twitter ที่ดังเป็นพรุแตกอยู่ ณปัจจุบันนี้ก็ตาม แต่กำลังอินจัด อยู่บนโลกไซเบอร์สเปซ ที่มีจำนวนประชากรว่า 1 ล้านคน และกำลังจะกลายเป็นจุดประกายให้อีกสายพันธุ์ธุรกิจบนโลกใบนี้ได้ตื่นตัวอีกครั้ง พลังแห่ง Second life กำลังถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องจิตนาการ และจะเป็น “พลังที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตคน”





Second Life คืออะไร?

by Romeo Arashi





Second Life เป็นซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัท Linden Lab มีผู้ก่อตั้งเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท Real Network ยักษ์ใหญ่ในในวงการด้านธุรกิจอินเตอเนทและมัลติมีเดีย Second Life ได้แรงบรรดาลใจมา จากนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง Cyberpunk และ Snow Crash




“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าโลกและชีวิต ถูกเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด?”



ข้อมูลมากมาย ทั้งสถบ ดูถูก ยกย่อง ถูกหยิบยกมา จำกัดความ “Second Life” อยู่ในอินเตอเนทเต็มไปหมด บางคนบอกว่ามันก็แค่เกมออนไลน์รูปแบบหนึ่ง, อีกหนึ่งสินค้าไฮเทคที่แหวกแนว, ช่องทางสำหรับขาย cybersex?





แต่นักพัฒนาโปรแกรมหลายคน ก็ยกย่องว่ามันคือ นวตกรรมของอนาคต หรือสิ่งประดิษฐ์ในยุคหน้า นักธุรกิจและนักการตลาดจำนวนมาก มองว่าในอนาคตอันใกล้ มันทางเลือกของการลงทุนและ สื่อโต้ตอบที่ทรงพลังที่สุด



Second Life เป็นโปรแกรมโลกจำลอง 3 มิติซึ่งทุกคนสามารถสมัครเข้าร่วมได้ ขอเพียงคุณมีคอมพิวเตอร์ และอินเตอเนท หลังจากสมัครผ่านเข้าไป คุณจะได้ควบคุม “Avatar” หรือตัวละครหนึ่งตน โดยคุณสามารถ ใช้ avatar ของคุณท่องเที่ยวไปยังโลกของ Second Life พบปะเพื่อนฝูง ช๊อปปิ้ง เที่ยวเล่นเกมหรือทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าคุณอยากจะลงหลักปักฐาน ก็หาซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านหรือเปิดร้านค้าขายสินค้าให้ avatar ตนอื่นๆ

ฟังดูไอเดียอาจจะไม่แตกต่างจากเกมออนไลน์…แต่แก่นแท้ที่ทำให้ Second Life โดดเด่นแตกต่างจากโปรแกรมอินเตอเนททั่วไปก็คือ…




1. ทุกอย่างในโลก Second Life ถูกสร้างจากน้ำมือของผู้เล่นทั้งสิ้น

ทุกๆอย่างในที่นี้ ผมหมายถึง ตึกอาคาร, ถนน, รถยนต์, ยานอวกาศ, เสาไฟฟ้า, ตู้เย็น, ถังขยะ, เสื้อหนาว, รองเท้าส้นสูง, ช้อน/ซ่อม, หรือกระทั่ง “มด” ที่เห็นเดินอยู่ตามพื้นดิน

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? …เกิดจากภายในโปรแกรม Second Life ได้ผนวกเอาเครื่องมือ 3 มิติเอาไว้ เพื่อให้ผู้เล่นมีอิสระที่จะสร้างวัตถุหรือสิ่งของใดๆก็ได้ (ตัวอย่างการสร้าง



) ดังนั้นผู้เล่นทุกคน จึงมีสิทธิในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด

ปกป้องทรัพย์สินของคุณ! …ภายใน Second Life ทุกสิ่งที่ถูกคุณสร้างขึ้นจะถูกปกป้องอยู่ภายใต้ IP Rights คงเปรียบเทียบคล้ายกับว่าเป็นกฎหมายลิขสิทธิ์..นั่นคือทุกสิ่งที่คุณสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณ คุณมีสิทธิ์ ที่จะแจกจ่าย หรือขายเพื่อแลกกับเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

การให้กรรมสิทธิ์แก่ผู้ใช้งานโปรแกรมในการถือครองสินทรัพย์ดิจิตอลเหล่านี้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและ ซื้อขายสินค้า และเกิดวงจรเศรษฐกิจขึ้นมา

2. Second Life นั้นมีสกุลเงินของตัวเอง คือ Linden Dollars (L$)



ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงิน US Dollars ($USD) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ผู้คนใน Second Life จับจ่ายซื้อขายสินค้าโดยใช้เงินสกุลนี้



ประเทศแห่งอนาคต? …ตั้งแต่เริ่มออนไลน์ตั้งแต่ปี 2003 ผู้คนจำนวนมากเริ่มสมัครเข้ามาร่วมสังคมใน Second Life จนปัจจุบันมีผู้เล่นหรือประชากรทะลุ 14 ล้านคน ผนวกกับมีการซื้อขายและทำธุรกิจเป็นวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (ราวๆ 50 สิบล้านบาทต่อวัน) ทำให้ปัจจุบัน Second Life มีระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน มีค่าเงินที่ผันผวนแทบคล้ายคลึงกับเมือง หรือประเทศในโลกจริงๆ




ปัจจุบันค่าเงิน L$ ตกอยู่ที่ประมาณ L$200-300 ต่อ $1 USD (หนึ่งดอลลาร์สหรัฐ) ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าเงิน L$



















ด้วยสองสาเหตข้างต้น ทำให้





Second Life แตกต่างจากโปรแกรม 3 มิติอื่นๆ และพัฒนาความสมจริงขึ้นไปมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของ Second Life มีทุกอย่างที่ตอบสนองความต้องการของประชากรในนั้น มันเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อน, เมืองแห่งธุรกิจ, สวนสนุกที่เต็มไปด้วยเกมหลากหลาย แม้กระทั่งผับ บาร์ใต้ดินซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ (Second Life จำกัดผู้เล่นที่อายุต่ำกว่า 18 ปีจะเข้าไปในสถานที่บางแห่งที่ไม่สมควรไม่ได้)

คำจำกัดความของ Second Life ยังคงคลุมเครือ เพราะไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนที่จะกล้าฟันธงได้ว่าเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาไปถึงขั้ืนไหน บางคนมองว่ามันเป็นเพียงกระแสความเห่อที่จะจางหายไปในไม่ช้า แต่บางคนวาดฝันว่ามันอาจจะพัฒนาความสมจริงไปถึงขั้นที่ภาพยนต์ไซไฟชื่อดังอย่าง The Matrix เคยปูทางเอาไว้

เรียนรู้ด้วยตัวคุณเอง

10 เทคนิค การ Promote เว็บไซต์ขายสินค้า ผ่าน Internet

10 เทคนิค การ Promote เว็บไซต์ขายสินค้า ผ่าน Internet



ในยุค Digital แบบนี้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจแบบไหน ระดับเล็กหรือกลางการมีเว็บไซต์ที่ดีเป็นหนทางการทำตลาดที่เยี่ยมยอดให้กับธุรกิจของคุณแต่แค่การมีเว็บไซต์ ยังไม่เพียงพอหรอกค่ะ เพราะการที่คุณใส่ข้อมูลของสินค้าและบริการของคุณเอาไว้บนเว็บ ไม่ได้แปลว่าทุก ๆ คนจะเข้ามาเจอเว็บไซน์ของคุณ คุณจำเป็นจะต้องโปรโมตเว็บไซน์ของคุณ




เทคนิค 10ประการต่อไปนี้จะเป็นหนทางช่วยคุณโปรโมตเว็บไซน์เพราะผู้ชมมากขึ้นยอดขายก็ย่อมจะมากขึ้นตามไปด้วย




1.ลงทะเบียนเว็บไซต์กับ search engines

บางที search engines (เช่น sanook, Google, msm) อาจจะพบเว็บไซต์ของคุณจากการซุ่มหาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นๆ แต่ทางที่ดีคุณควรจะส่งชื่อเว็บไซต์ไปยัง search enginesด้วยตัวเอง เพราะส่วนมากแล้วผู้ที่เข้าดูเว็บไซต์จะเข้าจากลิ้งค์ในsearch engines



2. ใช้ Signature (sig)file

โดยทั่วไปแล้ว sigfile จะประกอบไปด้วย ชื่อคนชื่อบริษัท ที่อยู่สำหรับติดต่อ และ/หรือสโลแกนของบริษัทรวมทั้งลิ้งค์ตรงไปยังเว็บไซต์ของคุณ sigfile นี้ควรจะอยู่บริเวณท้ายอี-เมล์ทุกฉบับที่คุณส่งออกและอย่าลืมใส่ไว้เวลาเข้าไปตอบหรือโพสต์ในเว็บบอร์ดอื่น ๆ ด้วย



3. โพสต์ใน forums (ห้องเสวนา)

เข้าไปพูดคุยในฟอรั่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณบ้างแต่เวลาเข้าไปไม่ใช่แค่ไปโฆษณาธุรกิจของคุณเท่านั้นให้ตอบคำถามในเรื่องที่คุณมีความรู้ แล้วก็ใส่ sigfile ไว้ท้ายข้อความคนอ่านจะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย



4.แจกของฟรีบนเว็บ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบของฟรีคุณจะได้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนถ้าบนเว็บของคุณมีของฟรีแจกเช่น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ บทความที่น่าสนใจ วอลล์เปเปอร์สวย ๆ มีเกมให้เล่นชิงรางวัลหรืออะไรก็ได้ที่จะดุงดูดกลุ่มเป้าหมาย



5.อัพเดทเว็บไซต์ให้ทันสมัย

การส่งชื่อเว็บไซต์ให้ search engines เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการโปรโมตเว็บแต่จะต้องอัพเดทเว็บด้วย เพราะ search engines จะจัดลำดับผลการค้นด้วยคีย์เวิร์ด และ metatags (ข้อมูลที่บอกว่าเว็บนี้เกี่ยวกับอะไรแต่อยู่ในโค้ดที่ผู้ใช้จะมองไม่เห็น ทำไว้สำหรับให้ search engines ค้น)




6.ส่งข่าวสารผ่านอี-เมล์

อี-เมล์เป็นการส่งข่าวสารใหม่ ๆของบริษัท หรือโปรโมชั่นพิเศษให้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายคุณควรมีข้อมูลอี-เมล์ของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ดังนั้นบนเว็บไซต์ควรมีที่ให้ผู้เข้าชมเว็บกรอกข้อมูลหรืออี-เมล์ไว้เพื่อรับข่าวสารต่าง ๆ



7. แลกเปลี่ยนลิ้งกับเว็บอื่นๆ

ในเว็บไซต์ของคุณควนจะมีลิ้งค์ไปเว็บไซต์ดี ๆ ที่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องการแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้ช่วยเพิ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดีเพราะบางทีเราอาจจะมีสินค้าหรือบริการที่ที่อื่นไม่มี



8.เปิดอีกเว็บไซต์

บางทีเว็บไซต์ที่ดูเป็นธุรกิจเกินไปอาจไม่น่าสนใจทำไมไม่ลองเปิดอีกสักเว็บไซต์ที่มีเรื่องน่าสนใจแต่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณตัวอย่างเช่นบริษัทกฎหมายเล็ก ๆ อาจจะเปิดเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจ บทความแบบฟอร์มต่าง ๆ หรือลิ้งค์ไปยังคดีต่าง ๆแล้วใช้ชื่อบริษัทเป็นสปอนเซอร์ให้กับเว็บไซต์โดยใช้แบนเนอร์โฆษณาหรือทำลิ้งไปยังเว็บไซน์ของบริษัทเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายตามไปที่เว็บไซต์บริษัท



9. ซื้อโฆษณาบนเว็บดัง ๆ

ถึงตอนนี้ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังมีผู้เข้าชมไม่มากพอละก็แนะนำให้ซื้อโฆษณาบนเว็บอื่น มี 2 ที่ที่ควรลงโฆษณานั่นก็คือที่search enginesและเนื้อที่โฆษณาบนเว็บดังที่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ



10.ใช้แผนโปรโมชั่นบนกระดาษ

การโฆษณาบนเว็บแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คุณสามารถใช้วิธีการโฆษณาแบบง่ายๆ นั่นก็คือ การใช้กระดาษ หัวจดหมาย ซองจดหมายหรือนามบัตรที่พิมพ์โลโก้และที่อยู่ของบริษัท ท้ายสุดอย่าลืมใส่ URL(ที่อยู่ของเว็บไซต์ด้วย)




****ข้อมูลจาก www.smethailandclub.com****

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คลังคำ

เซเลบ คุณต้องเคยเห็นพวกเขาและพวกเธอเหล่านั้นอย่างแน่นอน หนุ่มสาวหน้าตาดี ดูท่าทางทันสมัย ใช้ของแบรนด์เนม สวมเครื่องประดับระยิบระยับ เยื้องย่างเข้างานเปิดตัวสินค้าหรือปาร์ตี้ต่างๆ แสงไฟจากกล้องนับสิบตัวก็จะกระแทกกระทบมายังร่างไม่ขาดช่วงในจำนวนคนเหล่านี้ มีบ้างที่เป็นดารา นักร้อง หรือนักกีฬา แต่นั่นคือส่วนน้อย เพราะกว่า 60% ของคนกลุ่มนี้ เป็นผู้ที่ไม่เคยแสดงภาพยนตร์ ไม่เคยเล่นละคร และไม่มีผลงานออกสื่อที่เป็นรูปธรรมให้จับต้องได้เลยสักชิ้น เราเรียกคนเหล่านี้ว่า “เซเลบ” ซึ่งเป็นคำย่นย่อที่มาจาก “เซเลบริตี (Celebrity) และถ้าจะแปลกันแบบตรงตัว ก็จะมีความหมายว่า “ผู้ที่มีชื่อเสียง” แต่สำหรับคำว่า เซเลบ หรือ เซเลบริตี ในนิยามของผู้คนในพุทธศักราชนี้จะมีความหมายเจาะจงไปถึงผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งจำเป็นจะต้องออกงานสังคมอยู่เป็นนิจ




และจะต้องปรากฏใบหน้าโผล่ตามสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่องอีกด้วย … เซเลบคือ? พจนานุกรมยังไม่มีการบัญญัติคำย่อที่ติดปากคนคำนี้เอาไว้ ส่วนคำว่า เซเลบริตี ก็มีความหมายในภาษาไทยตามที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น แต่ถ้าคุณคิดว่าเซเลบริตีกับเซเลบ มีความหมายที่ซ้อนทับตรงกันหรือเหมือนกันเป๊ะอย่างไม่มีผิดเพี้ยนล่ะก็ เราก็ต้องขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า คุณคิดผิด! เพราะปัจจุบันการเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ได้กร่อนเป้าหมาย กลายเนื้อความไปจากเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว ในอดีต คนที่ตกเป็นเป้าของสื่อแขนงต่างๆ เวลาที่มีงานสังคมใดๆ จะต้องเป็นผู้ที่มีนามสกุลดังซึ่งสืบทอดเชื้อสายมาแต่โบราณ (อาจจะเป็นลูกหลานของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์) ซึ่งจะได้รับการเรียกขานว่าเป็น “ไฮโซ” ในเวลาต่อมา ตัวอย่างของไฮโซช่วงต้น

นอย ต้นกำเนิดมาจาก Paranoia ( แพ - ระ - นอย - อะ ) เป็นโรคหรือภาระทางจิตชนิดหนึ่ง คือ ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดระแวงหลงผิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายเขา บางคนไม่กล้าไปไหนเพราะเชื่อว่ามีคนมาล่าเขาทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ผู้ที่รู้สึกอย่างนี้เรียกว่า paranoid ( เช่น He is paranoid, I am paranoid เป็นต้น ) แต่คำนี้กลายเป็นสำนวนแล้วครับ เราจะใช้อธิบายเมื่อใคร ๆ คิดมาก กังวลมากเกินไป กลัวคนหรือสถานการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น จนกลายมาเป็นภาษาวัยรุ่น มันจะแปล ในทำนองที่ว่า เซ็งๆ, อารมณ์เสีย เช่น โห นอยหวะ = โหอารมณ์เสียหวะ อะไรประมาณนั้นค่ะ

มาต่อกันฉบับหน้านะคะ

คลังคำ (ต่อ)

คลังคำ (ต่อ)
“Disruptive Innovation” and Innovation Disruption
          
           จากแนวคิดเดิมที่องค์กรส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นบริหารจัดการที่ดีและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่สิ่งนี้เองที่กลับกลายมาเป็นปัจจัยในความล้มเหลวขององค์กร เพราะเป็นสิ่งที่องค์กรทั้งหลาย “ยึดติด” เป็นแนวทางหลักในการดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดในกลุ่มลูกค้าเดิมที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท หรือ จะเป็นการยึดติด ในตัวสินค้าและบริการ ที่ทำเงินมหาศาลให้กับบริษัท ทำให้บริษัทไม่ได้โฟกัสไปที่การสร้างสินค้าและบริการที่แปลกใหม่ แต่กลับใช้วิธีการพัฒนาต่อยอดสินค้าและบริการเดิมๆแทนซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ได้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับองค์กรใหม่ๆ หรือ บริษัทขนาดเล็ก ที่สามารถคิดค้นสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมแปลกใหม่ ที่เรียกว่า “Disruptive Innovation” เข้าแข่งขันกับผู้นำตลาดโดย Innovation Disruption จะเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันสร้างความเติบโตให้กับองค์กรธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยอาศัยการใช้นวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างจากผู้นำตลาด มาเป็นเครื่องมือผลักดัน และสามารถแบ่งได้เป็โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

          Incremental เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ ค่อยเป็น ค่อยไปและ
          Radical เป็นการดึงดูดทำให้มีของใหม่ เพื่อให้เกิดสภาวะอุสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลง เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีราคาสูง

         ซึ่งเป็นทฤษฏีใหม่ที่ ภาคอุสาหกรรมเกิดขึ้นได้ยาก มักจะต้องอาศัยภาคการศึกษาและภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกันและพลักดันโดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ ภาครัฐจะเป็นการกำหนดนโยบายและภาคการศึกษาจะเป็นการทำ R&Dโดยเมื่อมีการค้นพบไม่ว่าจะเป็น ทั้งProduct & Process Innovation และป้อนให้ภาคอุสาหรรมสามารถนำมาใช้ และ ออดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เข้าสู่วงจรผลิตภัณฑ์ โดยดูจาก S-Curve ที่ภาคอุสาหกรรมต้องพยายามต่อเส้น S-Curve เส้นใหม่ที่ตัดกับเส้นเดิม ซึ่งจุดที่ตัดจเรียกว่า New Product Develop Phase โดยการสร้าง S-Curve ใหม่นั้นภาคอุสาหกรรมพยายามเพิ่มการมีส่วนร่วมทางเทคโนโลยี เข้าไปอยู่ที่ตัวสินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ซึ่งสภาวะการสร้าง S- Curve เส้นใหม่ที่ภาคอุสาหกรรม ณ ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางธุรกิจระหว่างองค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละองค์กรได้นำกลยุทธ์ต่าง ๆ ออกมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่องค์กรได้ให้ความสำคัญ เนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของเทคโนโลยีใหม่ทำให้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมนั้นหายไปและส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นี่คือคำจำกัดความของ Technological Disruption
   
           ดังนั้นผู้จัดการด้านเทคโนโลยีและผู้นำองค์กร ควรมีความเข้าใจถึงปรากฏการณ์และกลไกพื้นฐานของการเกิด Disruption และสามารถนำเอา Disruptive Technology / innovation ซึ่งหมายถึง เทคโนโลยีที่มีคุณลักษณะเด่นพิเศษที่สามารถมาแทนที่เทคโนโลยีเดิมโดยส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าวมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับองค์กรได้ เมื่อเทียบกับประเด็นจาก “Shocking Facts” ทำให้ทราบได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในโลกของเราเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยที่เรายังมะทันรู้ตัว จึงควรต้องหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งใหม่ตลอดเวลาเพื่อให้เป็น Creative Destruction ที่จะเป็นการทำลายอย่างสร้างสรรค์หรือการทำลายโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แนวความคิดเบื้องหลังทฤษฎีของCreative Destruction คือ ความต้องการของผู้ซื้อ หรือสภาพการณ์ในการตลาดย่อมจะเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยตลอด และในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางธุรกิจระหว่างองค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละองค์กรได้นำกลยุทธ์ต่าง ๆ ออกมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่องค์กรได้ให้ความสำคัญ เนื่องจากการเข้ามาแทนที่ของเทคโนโลยีใหม่ทำให้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมนั้นหายไปและส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นี่คือคำจำกัดความของ Technological Disruption

          ดังนั้นผู้จัดการด้านเทคโนโลยีและผู้นำองค์กร ควรมีความเข้าใจถึงปรากฏการณ์และกลไกพื้นฐานของการเกิด Disruption และสามารถนำเอา Disruptive Technology / innovation ซึ่งหมายถึง เทคโนโลยีที่มีคุณลักษณะเด่นพิเศษที่สามารถมาแทนที่เทคโนโลยีเดิมโดยส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าวมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับองค์กรได้ ทั้งนี้ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับปรากฏการณ์และกลไกของการเกิด Technological Disruption โดยยกตัวอย่างของกล้องดิจิตอลมาเป็นกรณีศึกษา ซึ่งการพัฒนาของกล้องดิจิตอลนั้นถือเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของ Disruptive Technology / innovation ที่ชัดเจนในรูปแบบหนึ่งของการแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่แล้วส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมากล้องดิจิตอลได้เข้ามาแทนที่กล้องฟิล์มในตลาดผู้บริโภคได้เกือบทั้งหมด โดยเริ่มจากในปีค.ศ.1994 ที่บริษัท Apple ได้นำกล้องดิจิตอลตัวแรกออกมาวางขายในท้องตลาดซึ่งในช่วงแรกมีการตอบรับจากตลาดอยู่ในกรอบที่จำกัดแต่เนื่องจากการเทคโนโลยีของกล้องดิจิตอลที่มีอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคุณสมบัติของเทคโนโลยีในกล้องดิจิตอลเป็นที่ยอมรับสำหรับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ และในที่สุดก็ทดแทนกล้องถ่ายรูปฟิล์มได้เต็มรูปแบบดังที่ดูได้จากยอดขายของกล้องดิจิตอลที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว สวนทางกับยอดขายของกล้องฟิล์มที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ และในปัจจุบันแทบจะไม่เหลือกล้องฟิล์มวางขายในตลาดแล้ว

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยุคนี้เรื่องของ e- มาแรง

ยุคนี้เรื่องของ e- มาแรง



ที่ยกเรื่อง e มาพูดในที่นี่ไม่ได้หมายถึง eหน้าหนอน eบ้า eบอ หรือ e อะไรที่หยาบคายทั้งนั้นนะคะ แต่กำลังหมายถึง e–electronic ที่กำลังมาแรงในยุค Web 2.0 ณ ปัจจุบันนี้ต่างหาก

ทุกวันนี้ดูเหมือนอะไร ๆ ก็อยากจะเป็น e กันไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็น Government ก็กลายเป็น e-Government, Auction ก็กลายเป็น e-Auction Business ก็กลายเป็น e-Business หรือแม้แต่หนังสือก็กลายเป็น e-book ไปซะแล้ววว ยังมี e อื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดถึงซึ่งแต่ละภาคส่วนก็พยายามกันเหลือเกินที่ให้มันกลายเป็น e-ไปซะทุกอย่าง แล้วคุณรู้มั๊ยว่ามันเพราะอะไร???

ก่อนอื่นมาดูความหมายของคำว่า “อิเล็กทรอนิกส์ “กันก่อน “อิเล็กทรอนิกส์ “หมายความว่า การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง วิธีการทางแม่เหล็ก หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่าง ๆ


“อิเล็กทรอนิกส์” คือ โทรศัพท์ แฟกซ์ อีเมล์ อินเทอร์เน็ต ก็ถือว่าเป็นอิเล็กทรอนิกส์ด้วย เพราะคำว่า “วิธีการทางอิเล็กตรอนนั้น” จะหมายรวมถึงการส่งข้อมูลไปตามสายโทรศัพท์ สายแลน สายไฟเบอร์ หรือแม้แต่การส่งข้อมูลผ่าดาวเทียมก็ล้วนแล้วแต่เป็นการประยุกต์ใช้วิธีทางอิเล็กตรอนทั้งหมด

ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์คือ เรื่องราวหรือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบของ ตัวอักษร ตัวเลข เสียง ภาพ หรือรูปแบบอื่นใดที่สื่อความหมายได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการใด ๆ ที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยน เรื่องราวหรือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบของ ตัวอักษร ตัวเลข เสียง ภาพ หรือรูปแบบอื่นใดที่สื่อความหมายได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการใด ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร

สำหรับคำว่า “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” นั้น ถ้าเข้าใจกันแบบง่ายๆ ก็หมายถึง ข้อความที่แต่เดิมปรากฏอยู่บนกระดาษซึ่งใช้แสดงเจตนาหรือแสดงผลผูกพันของตัวบุคคล วันดีคืนดี พอมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถแปลงข้อความให้อยู่ในรูปของ “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” เพราะต้องส่งถึงกันหรือสื่อสารถึงกัน โดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การส่งถึงกันโดยทางอินเทอร์เน็ต หรือโดยทางโทรเลข หรือโดยทางโทรสาร

แม้กระทั่งทางโทรพิมพ์ที่อาจเป็นวิธีเก่าที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นกันเท่าไหร่นักในยุคนี้ จึงเป็นที่มาของการผลักดันให้เกิดการยอมรับผลทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น และนั่นหมายถึง การยอมรับความเท่าเทียมกันของข้อความที่อยู่บนกระดาษ ให้เท่าเทียมกับข้อความที่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนั้น ยังมีหลักการสำคัญอีกประการ ในการยอมรับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ให้เท่าเทียมกับลายมือชื่อธรรมดาที่เราๆ ท่านๆ เซ็นลงบนกระดาษนั่นเอง (ที่มา: www.panyathai.or.th )
เมื่อรู้ความหมายกันแล้วก็มาดูกันซิว่าบนโลกนี้มีอะไรที่กลายเป็น e-… ไปแล้วบ้าง เริ่มกันที่
e-mail คำยอดฮิต E-mail ย่อมาจาก electronic mail (แปลว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์) หมายถึงการสื่อสารหรือการส่งข้อความ โน้ต หรือบันทึกออกจากคอม พิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ผ่านไปเข้าเครื่องปลายทาง (terminal) หรือเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านทางระบบเครือข่าย (network) ผู้ส่งจะต้องมีเลขที่อยู่ (e-mail address) ของผู้รับ และผู้รับก็สามารถเปิดคอมพิวเตอร์เรียกข่าวสารนั้นออกมาดูเมื่อใดก็ได้ โดยปกติ จะไม่มีการพิมพ์ข้อความหรือข่าวสารนั้นลงแผ่นกระดาษ นับว่าเป็นการประหยัดกระดาษไปได้ส่วนหนึ่ง โดยทั่วไป ถือกันว่าเป็นงานส่วนหนึ่งของสำนักงานอัตโนมัติ (office automation) ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอันมาก


e-book หมายถึง หนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผู้อ่านสามารถอ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆได้ สำหรับหนังสือ หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์นี้ จะมีความหมายรวมถึงเนื้อหาที่ถูกดัดแปลง อยู่ในรูปแบบที่สามารถแสดงผลออกมาได้ โดยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์แต่ก็ให้มีลักษณะการนำเสนอที่สอดคล้องและคล้ายคลึงกับการอ่านหนังสือ ทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน แต่จะมีลักษณะพิเศษ คือ สะดวกและรวดเร็ว ในการค้นหา และผู้อ่านสามารถอ่าน พร้อมๆ กันได้โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายส่งคืนห้องสมุด เช่นเดียวกับหนังสือในห้องสมุดทั่วๆ ไป

ที่มา: กลุ่มพัฒนาสื่อเทคโนโลยี ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ

E-Commerce คือ การค้าอิเล็กทรอนิกส์ คำนี้น่าจะเป็นคำที่ติดหู ติดปากกันทั่วไป โดยแท้จริงแล้ว E-Commerce คือการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบัน หมายถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ต ด้วยข้อดีของอินเตอร์เน็ตทำให้การซื้อขายไม่จำกัดด้วยเวลาและสถานที่ ผู้ขายสินค้าจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดตลาดของตนเองอยู่เพียงในประเทศเท่านั้น ลูกค้าที่อยู่อีกซีกโลกสามารถสั่งสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตในขณะที่เราซึ่งอยู่อีกซีกหนึ่งกำลังหลับได้อย่างสะดวกสบาย ถึงอย่างไรก็ตาม การซื้อ-ขายใช่ว่าจะจบกระบวนการที่มีการสั่งซื้อจากลูกค้าและรับคำสั่งซื้อโดยผู้ขายเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอาศัยกระบวนการทางุรกิจอื่นๆ เพื่อให้การซื้อขายจบกระบวนการ ได้แก่การชำระเงิน ซึ่งอาจจะเป็นการชำระด้วยบัตรเครดิตผ่านเน็ต ซึ่งเป็นการชำระเงินแบบ E-Payment หรือ Online Payment หรือไม่ก็เป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร ซึ่งเป็นการชำระแบบ offline หรือ Offline Payment รวมถึงการจัดส่งสินค้าผ่าน Courier หรือ ไปรษณีย์ หรือการให้ลูกค้าที่ชำระเงินแล้วสามารถดาวน์โหลดซอฟแวร์ได้ เป็นต้น

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ปัจจุบันยังมีความสับสนระหว่าง คำว่า E-Business กับ E-Commerce คำว่า E-Business สำหรับ E-Business ( เขียนอีกแบบก็คือ eBusiness ) นั้นย่อมาจากคำว่า Electronic Business หรือ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอนใด ๆ ในการดำเนินธุรกิจ (transaction) ที่อาศัยระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางธุรกิจ


e-Business นั้นมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างคุณค่าเพิ่ม (Added Value) ตลอดกระบวนการหรือกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process) และช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก และระหว่าง องค์กรด้วยกัน เช่น Supplier เป็นต้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าและคู่ค้ามากขึ้นด้วย จะเห็นว่า E-Business ไม่ใช่แค่เพียงการซื้อมา-ขายไปโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำธุรกิจอีกด้วย


E-Business จึงไม่ได้จำกัดเพียงเป็นการปรับกระบวนการทางสำหรับองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กรธุรกิจที่ไม่มุ่งผลกำไร ( Non-Profit Organization) อย่างกรมสรรพากรอีกด้วย E-Business สามารถแบ่งตามรูปแบบการดำเนินงานระหว่างองค์กรได้เป็น


องค์กรกับองค์กร หรือ Business to Business(B-to-B) เป็นการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างองค์กรด้วยกัน ไม่ว่าการใช้ อีเมลล์เพื่อสื่อสารระหว่างองค์กร หรือ การใช้ข้อมูลผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ร่วมกัน อย่างการเช็คเครดิตของลูกค้าบัตรเครดิตหรือลูกค้าสินเชื่อผ่านองค์กรกลางอย่าง Thai Credit Bureau Company (TCB) โดยธนาคารที่ให้สินเชื่อลูกค้าจะทำการเช็คข้อมูลลูกค้าที่ขอสินเชื่อผ่านระบบข้อมูลออนไลน์ของ TCB เป็นต้น

องค์กรกับลูกค้า หรือ Business to Consumer(B-to-C) เป็นการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พบเห็นมากที่สุด โดยองค์กรธุรกิจจะทำการธุรกรรมไปยังลูกค้าโดยตรง เช่นการค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ E-Commerce การรับฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากอัตโนมัติ การติดตามการจัดส่ง ไปรษณีย์ EMS หรือ ไปรษณีย์ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ตของไปรษณีย์ไทย (ที่มา: http://track.thailandpost.co.th/default.asp )
ลูกค้ากับลูกค้า หรือ Consumer to Consumer (C-to-C) การดำเนินการธุรกรรมในระดับลูกค้ากับลูกค้าด้วยกันเอง ตัวอย่างที่พบเห็นได้มากที่สุดคือ เว็บไซด์ประมูลสินค้าอย่าง EBay หรือ thai2hand.com ซึ่งเว็บเหล่านี้ จะเป็นสื่อกลางในการให้ลูกค้าที่ต้องการเสนอซื้อสินค้ามือสองจากผู้ที่สนใจเสนอขายสินค้ามือสองของตน เป็นต้น
e-Marketing ย่อมาจากคำว่า Electronic Marketing หรือเรียกว่า “การตลาดอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือพีดีเอ ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยอินเทอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร
ที่มา : http://www.thinkandclick.com/

e-News คือ จดหมายข่าวทางอิเล็กทรอนิกส์
e-Society เป็นการใช้ชีวิตและดำเนินกิจการต่าง ๆ ด้วยข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์
e-banking ย่อมาจาก electronic banking หมายถึง ระบบการทำงานธุรกรรมต่าง ๆ กับธนาคารผ่านทางอินเตอร์เน็ต
e-cash ย่อมาจาก electronic cash หมายถึง เงินสดอีเล็กทรอนิกส์ เป็นระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ชำระค่าสินค้าแทนเงินสด
e-check ย่อมาจาก electronic check หมายถึง การส่งเช็คผ่านอีเมล์ วิธีนี้ต่างจากวิธี check by net ตรงที่ใช้ส่งเช็คผ่านทางอีเมล์ เป็นวิธีที่ถือว่าสะดวกสำหรับการขายส่งระหว่างธุรกิจ และการขายปลีกให้กับคนทั่วไป แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก
e-Government หมายถึง การให้บริการข้อมูลแบบออนไลน์ของภาครัฐ ซึ่งในตอนนี้แทบทุกกระทรวงก็จะมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง ใครอยากรู้อะไรก็เปิดเว็บไซต์ไปดูได้ อยากได้ข้อมูลอะไรก็สามารถหาได้ในนั้น
e-University หมายถึง มหาวิทยาลัยที่ใช้ไอทีเข้าช่วยการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย โดยเน้นการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ แบบออนไลน์ ใช้ข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก และกระจายการใช้งานอย่างทั่วถึง การก้าวเข้าสู่การเป็น e-University ประกอบด้วย
การใช้ไอทีเพื่อการเรียนการสอน ไอที ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายสื่อสารเข้ามาช่วยการดำเนินการเรื่องการเรียนการสอนอย่างมาก เข้ามามีส่วนเสริมทั้งการเรียนแบบปกติ (Synchronouse System) และระบบการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ด้วยผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Asynchronous System) ในระบบการเรียนการสอนแบบซิงโครนัส เน้นการจัดตารางสอน การเรียนรู้ในห้องเรียน อาจารย์และนิสิตพบกันที่สถานที่หนึ่งตามกำหนดในตารางสอน
ไอทีเข้ามาเสริมโดยที่สภาพห้องเรียนทุกห้องมีระบบเชื่อมโยงกับเครือข่าย และต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต ภายในห้องมีระบบการเรียกเข้าหาขุมความรู้ โดยสามารถฉายผ่านจอภาพให้นิสิตดูได้ การใช้บทเรียนมีวิธีการเรียนรู้แบบต่าง ๆ มาก ตั้งแต่การเรียนแบบ Web base learning การเรียกใช้ Teaching Material การนำเสนอด้วยภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว การสร้างแบบจำลองต่าง ๆ สำหรับการเรียนรู้แบบ อะซิงโครนัส นั้น เน้นผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เรียนที่ใดก็ได้ขอให้เข้าถึงเครือข่ายได้ ผู้เรียนเรียกเข้าได้จากทุกหนทุกแห่ง แม้อยู่ที่บ้าน และเรียกเวลาใดก็ได้ มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย มีโฮมเพจประจำวิชา ผู้เรียนสามารถทำแบบฝึกหัด ทำรายงานผ่านโฮมเพจของตน ใช้ระบบ chat พูดคุยในวิชาการตามห้องคุยที่กำหนด มี Web board ให้โต้ตอบในวิชาการที่เรียน ใช้ระบบอีเมล์ในการส่งคำถามคำตอบหรือสื่อสารต่าง ๆ
e-Service หมายถึง การให้บริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในธุรกิจด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า สมาชิก หรือพนักงานในองค์กร
e-Library “ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์” E-library มาจากคำว่า Electronic Library หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึงแหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย และให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในลักษณะผสมผสานการทำงานของระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ห้องสมุดดิจิตอล และห้องสมุดเสมือน
e-Auction หมายถึง การจัดหาพัสดุซึ่งเกิดจากการรวมความต้องการจัดซื้อพัสดุในปริมาณมาก (Demand Aggregation)ทำให้คำสั่งซื้อมีมูลค่าสูงจนสามารถจัดการประมูลได้ ราคาของสินค้าที่ทำการประมูลประเภทนี้ จะเกิดจากการเสนอราคาแข่งขันของผู้ขายในแต่ละครั้งด้วยการประมูลผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในการทำการประมูลแบบ e - Auction นี้ ตลาดกลางฯ จะต้องเป็นผู้จัดการประมูล ที่มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านนี้มาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการประมูลและให้คำแนะนำในการจัดซื้อ
e-Learning หมายถึง การเรียน รู้บนฐานเทคโนโลยี (Technology-based learning) ซึ่งครอบคลุมวิธีการ เรียนรู้ หลากหลายรูปแบบ อาทิ

- การเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์ (computer-based learning)

- การเรียนรู้บนเว็บ (web-based learning)

- ห้องเรียนเสมือนจริง (virtual classrooms)

- ความร่วมมือดิจิทั่ล (digital collaboration) เป็นต้น
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่าน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท อาทิ อินเทอร์เน็ต (internet) อินทราเน็ต (intranet) เอ็กซ์ทราเน็ต (extranet) การถ่าย ทอดผ่าน ดาวเทียม (satellite broadcast) แถบบันทึกเสียงและ วิดีทัศน์ (audio/video tape) โทรทัศน์ที่สามารถโต้ตอบกันได้ (interactive TV) และซีดีรอม (CD- ROM) การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความ สำคัญ มากขึ้นเป็น ลำดับ (ศ. ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, e-learning : ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ในอนาคต)
สาเหตุที่ e- ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนเราทุกวันนี้ก็เพราะอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตนั่นเอง อินเตอร์เน็ตทำให้วิถีชีวิตของคนหลายคนเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว..
แล้วคุณหละรู้จัก e- อะไรกันบ้าง ??